เบียร์ ผลิตมาจากธัญพืช น้ำและยีสต์ ธัญพืชที่ใช้บ่อยที่สุดในการผลิตเบียร์ก็คือ บาร์เลย์และวีท (อุตสาหกรรมเบียร์ราคาถูกจะใช้ ข้าวโพดและข้าวทดแทน) ซึ่ง อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ไม่ถูกทำลายระหว่างกระบวนการหมักและกรอง และคุณค่าวิตามินต่าง ๆ จากยีสต์ก็ยังคงอยู่กับผลิตภัณ์เมื่อนำออกสู่ตลาด

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ วันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง!!

fat

นักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมาก ๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่น ๆ ทั้งสิ้น

จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน

goldbeer

ขณะที่ ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และ หากต้องการดื่มจริง ๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี

แคลอรีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ถึงแม้แอลกอฮอล์เองจะไม่มีไขมัน แต่มีแคลอรีสูงเกือบเท่าไขมันเมื่อผสมกับน้ำผลไม้ น้ำตาลและผลไม้อื่น ๆ ที่มีแคลอรีก็จะยิ่งทำให้แคลอรีสูงขึ้นไปอีก

เบียร์ เบียร์ชนิดที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีแคลอรีพอ ๆ กับชนิดที่มีแอลกอฮอล์ คือเบียร์ชนิดที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานประมาณ 148 แคลอรี / 360 มล. เบียร์ชนิดอ่อนให้พลังงาน 99 แคลอรี / 360 มล. ถ้าดื่มเบียร์ปกติ 6 กระป๋องจะได้พลังงานมากกว่า 800 แคลอรี ยังไม่รวมกับแกล้มที่กินร่วม

ไวน์ ไวน์ขาวมีพลังงานน้อยกว่าไวน์แดงชนิดหวาน 106 และ125 แคลอรี / 150 มล. ถ้าดื่มไวน์ก่อนอาหารเย็น 1 แก้วและตามอีก 1 แก้วระหว่างอาหารเย็น และตบท้ายด้วยไวน์แดง เท่ากับว่าเพิ่มพลังงานให้กับอาหารมื้อนั้นอีกประมาณ 337แคลอรี

สำหรับผู้ที่ดื่มแชมเปญอาจจะดีใจเมื่อรู้ว่ามีพลังงานเท่า ๆ กับไวน์ขาวคือ 106 แคลอรี / 150 มล.แต่เวลาดื่มมักจะดื่มหมดขวดพลังงานที่ได้ก็จะมากขึ้นตาม (ประมาณ 531 แคลอรี)

เครื่องดื่มประเภทวิสกี้ พลังงานจากยิน รัม วอคกา หรือวิสกี้ขึ้นกับค่าพรู๊ฟ(Proof) ซึ่งเท่ากับ 2 เท่าของเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ ตัวอย่างเช่น วอคกา 90 พรู๊ฟมีแอลกอฮอล์ร้อยละ 45 และถ้า 100 พรู๊ฟ มีแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 จะเห็นได้ว่ายิ่งตัวเลขพรู๊ฟสูงก็ยิ่งมีปริมาณแคลอรีมาก

เครื่องดื่มผสม เครื่องดื่มประเภทนี้มักจะเสิร์ฟด้วยแก้วขนาดใหญ่ ยิ่งแก้วใหญ่เท่าไรพลังงานก็สูงตาม

การดื่มเบียร์เราควรที่จะรู้ประมาณในการรับประทาน และในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ หากรับบประทานเกินความจำเป็นก็จะเป็นโทษได้นะคะ ดังนั้นเราควรจะรู้จักปริมาณของการดื่ม ถ้าดื่มมากเกินความจำเป็นนั่นคือ เป็นโทษแน่นอนค่ะ

เรามาดูประโยชน์อื่น ๆ ของเบียร์กันเลยค่ะ

ประโยชน์ของเบียร์ต่อร่างกาย

  • ป้องกันโรคหัวใจ : จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 40-60% (แต่ไม่ควรดื่มเกินวันละครึ่งลิตรต่อวันนะคะ)
  • ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต : สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุตตัน
  • ช่วยลดความดันโลหิต : แพทย์ชาวฮอลแลน์ด์ และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
  • ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ : ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวารเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรง : เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน (แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น)
  • ช่วยให้อายุยืน : จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1-2 แก้ว มักจะมีอายุยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารป้องกันโรคหัวใจ
  • ป้องกันท้องร่วง : โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกับกรมนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วมไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
  • ต้านความเครียด : นักวิชาการมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
  • ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต : นักวิชาการจากเมื่องเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกสีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
  • ช่วยต้านมะเร็ง : เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระต้วร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟินอยด์ หลัก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยังโปรตีนทีช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
  • ช่วยให้ผิวสวย : ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามันบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเชลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจลและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนอ่อนนุ่ม

ประโยชน์ของเบียร์ที่น่าทึ่ง

ประคบเอ็นร้อยหวายด้วยเบียร์กระป๋อง

เบียร์กระป๋องเย็นๆใช้ช่วยประคบกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดได้เช่นเดียวกับถุงน้ำแข็ง ด้วยการนำกระป๋องเบียร์ที่แช่เย็นไปประคบส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เจ็บปวดเนื่องจากความเมื่อยล้า ต้นคอ หรืออาการปวดหัว ก็สามารถทำได้ค่ะ

ใช้ดับไฟ

ในกรณีที่คุณไม่มีเครื่องดับเพลิงอยู่ใกล้ๆ เบียร์สักกระป๋องนำมาใช้แทนได้อย่างดี เพียงแค่เขย่ากระป๋องเบียร์เล็กน้อยและราดลงไปบนไฟค่ะ (แต่เหมาะเฉพาะสำหรับไฟเล็กๆ น้อยเท่านั้น นะคะ) หากไฟลุกไหม้บนตะแกรงปิ้งอาหาร อย่าเผลอเอาเบียร์ไปดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่เชียวค่ะ

ใช้ในการหมักเนื้อ

เบียร์มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เราจึงสามารถนำไปหมักเนื้อได้ เบียร์จะทำให้เนื้อที่เหนียวนุ่มลงค่ะ และข้อดีอีกอย่างสำหรับการหมักเนื้อด้วยเบียร์คือ มันจะไม่ทำให้รสชาติของเนื้อเปลี่ยนไปด้วยค่ะ
วิธีการหมักก็คือ ใช้ส้อมจิ้มๆเนื้อให้เป็นรูๆ เล็กน้อย จากนั้นทำไปใส่ในกล่องที่มีฝาปิดแล้วเติมใส่เบียร์เข้าไปสักพอประมาณและนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือหากต้องการให้เบียร์ซึมเข้าเนื้อดีขึ้น ควรนำไปแช่ในช่องแช่แข็งไว้ข้ามคืนก่อนนำมาปรุงอาหารค่ะ

beef

ปลอดล็อกที่ขึ้นสนิมด้วยเบียร์

ถ้าตัวล็อกประตูของคุณขึ้นสนิมจนเปิดไม่ออก ลองนำเบียร์ราดลงไป แล้วทิ้งไว้สักครู่ คาร์บอเนตในเบียร์จะช่วยละลายสนิมที่ติดอยู่ได้ค่ะ

ปลุกชีพให้กับหญ้าที่ตายแล้ว

น้ำตาลหมักในเบียร์มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริฐเติบโตของพืชและฆ่าเชื้อราได้ลองพ่นเบียร์ลงไปตรงจุดที่หญ้าเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลในสนามหญ้าที่ตายจะดูดซับพลังงานจากน้ำดาลหมักในเบียร์ ทำให้หญ้าคืนมาเขียวได้อีกครั้ง

เบียร์แต่งและบำรุงผม

เบียร์ 2 – 3 หยด สามารถนำมาใช้ในการแต่งผมได้ เนื่องจากคุณสมบัติที่เหนียวหนะพอๆ กับเจลแต่งผม และยังสามารถทำให้ผมเราสวยได้ ผมที่ลีบแบน จะพองตัวหนาขึ้น และมีสุขภาพผมที่ดีขึ้น ซึ่งวิธีก็มีอยู่ว่า หลังจากสระผมเสร็จแล้วทำการเบียร์ลงบนเส้นผมพอหมาดๆ ขยี้ให้ทั่วทั้งศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
นอกจากเบียร์จะช่วยให้ผมสวยหนาขึ้นพองขึ้นแล้ว เบียร์ยังมีคุณสมบัติดีท๊อกอีกด้วยค่ะ เบียร์สามารถขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมได้อีกด้วย เพียงอาทิตย์ละครั้ง ผมของเราก็จะเริ่มมีสุขภาพที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับง่ายของทำดูนะคะ

แก้การนอนกรน

ลองนำเบียร์กระป๋องใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกลัดไว้ด้วยเข็มกลัดจากนั้นก็นอน แต่ต้องใส่กลับข้างก็คือเอาด้านหน้าของเสื้อที่มีอยู่ในกระเป๋ามาใส่เป็นด้านหลังแทน เพราะนักวิจัยพบว่า คนเรามักจะกรนเวลาที่นอนงาย กระป๋องเบียร์อยู่ด้านหลังจะช่วยไม่ให้คุณพลิกตัวมานอนหงายได้ง่ายๆค่ะ

ดูแล้วเบียร์นั้นมีประโยชน์มากมายเลยนะคะ แต่การที่จะเป็นประโยชน์นั้น คือ การรับประทานในอัตราที่เหมาะสม พอเหมาะพอควรค่ะ หาดื่มในปริมาณที่มากเกินไป หรือมากเกินความจำเป็นเบียร์ก็สามารถให้โทษกับเราได้เหมือนกันคะ ของทุกอย่างที่มีประโยชน์ก็มีโทษอยู่ในตัวมันเองด้วย ของบางอย่างที่เหมือนจะมีโทษ แต่ก็ยังมีประโยชน์ในตัวมันเองด้วยเช่นกันคะ ดังนั้น อย่าลืมนะคะ ใช้ในดื่ม กิน ในปริมาณที่เหมาะสม จะเป็นการดีที่สุดคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

By Solar